วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แสงและการมองเห็น

แสงและการมองเห็น

ลำแสง
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เดินทางในรูปคลื่นด้วยอัตราเร็วสูง 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แหล่งกำเนิดแสงมีทั้งแหล่งกำเนิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น แสงดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งพลังงานของสิ่งมีชีวิต แหล่งกำเนินแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น แสงสว่างจากหลอดไฟ เป็นต้น
เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มควันหรือฝุ่นละออง จะเห็นเป็นลำแสงเส้นตรง และสามารถทะลุผ่านวัตถุได้ วัตถุที่ยอมให้แสงเคลื่อนที่ผ่านเป็นเส้นตรงไปได้นั้น เราเรียกวัตถุนี้ว่า วัตถุโปร่งใส เช่น แก้ว อากาศ น้ำ เป็นต้น ถ้าแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุบางชนิดแล้วเกิดการกระจายของแสงออกไป โดยรอบ ทำให้แสงเคลื่อนที่ไม่เป็นเส้นตรง เราเรียกวัตถุนั้นว่า วัตถุโปร่งแสง เช่น กระจกฝ้า กระดาษไข พลาสติกฝ้า เป็นต้น ส่วนวัตถุที่ไม่ยอมให้แสงเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เราเรียกว่า วัตถุทึบแสง เช่น ผนังคอนกรีต กระดาษแข็งหนาๆ เป็นต้น วัตถุทึบแสงจะสะท้อนแสงบางส่วนและดูดกลืนแสงบางส่วนไว้ทำให้เกิดเงาขึ้น

การสะท้อนของแสง (Reflection)

เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับตัวกลางใหม่ แล้วสะท้อนกลับสู่ตัวเดิม เช่น การสะท้อนของแสงจากอากาศกับผิวหน้าของกระจกเงาจะเกิดการสะท้อนแสงที่ผิวหน้าของกระจกเงาราบแล้วกลับสู่อากาศดังเดิม เมื่อแสงตกกระทบกับผิวหน้าของตัวกลางใดๆ ปริมาณและทิศทางของการสะท้อนของแสง จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพื้นผิวหน้าของตัวกลางที่ตกกระทบ จากรูป เมื่อลำแสงขนานตกกระทบพื้นผิวหน้าวัตถุที่เรียบ แสงจะสะท้อนเป็นลำแสงขนานเหมือนกับลำแสงที่ตกกระทบ การสะท้อนบนพื้นผิวหน้าที่เรียบ โดยเรียกว่า การสะท้อนแบบสม่ำเสมอ

การสะท้อนของแสงเมื่อตกกระทบพื้นผิววัตถุที่เรียบ

เกิดขึ้นเมื่อลำแสงตกกระทบไปยังพื้นกระจกหรือพื้นผิวที่ขรุขระจะส่งผลให้แสงสะท้อนกลับไปคนละทิศละทาง


  •   รังสีตก กระทบ (Incident Ray) คือ รังสีของแสงที่พุ่งเข้าหาพื้นผิวของวัตถุ
  •   รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คือ รังสีของแสงที่พุ่งออกจากพื้นผิวของวัตถุ
  •   เส้นปกติ (Normal) คือ เส้นที่ลากตั้งฉากกับพื้นผิวของวัตถุตรงจุดที่แสงกระทบ
  •   มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มุมที่รังสีตกกระทบทำกับเส้นปกติ
  •   มุมสะท้อน (Angle of Reflection) คือ มุมที่รังสีสะท้อนทำกับเส้นปกติ

กฎการสะท้อนของแสง (The Laws of Reflection) มี 2 ข้อ ดังนี้
  • รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นปกติจะอยู่ในระนาบเดียวกัน
  • มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ดังภาพ

สเปกตรัมของแสง

แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแสงขาว ซึ่งเราสามารถใช้ปริซึมแยกแสงที่เป็นองค์ประกอบของแสงขาวออกจากกันได้เป็นแถบสีต่างๆ 7 สีเรียงติดกัน เราเรียกแถบสีที่เรียงติดกันนี้ว่าสเปกตรัม
 กล่องข้อความ: แสงขาว (Visible light) คือ ช่วงคลื่นแสงที่ทำให้ตาเราสามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่างๆ ได้
ภาพแสดงสเปกตรัมของคลื่นแสงขาว

ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ ก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หยดน้ำฝนหรือละอองน้ำทำหน้าที่เป็นปริซึม แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจะเกิดการหักเหทำให้เกิดเป็นแถบสีบนท้องฟ้า
ภาพแสดงการเกิดสเปกตรัมสีรุ้งของแสงเมือลำแสงผ่านปริซึม
จากภาพแสงสีแดงจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงสีม่วง ทำให้แสงสีแดงเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่น้อยกว่าแสงสีม่วง เป็นสาเหตุทำให้เกิดการกระจายของแสงขาวเรียงกันเป็นแถบสีเกิดขึ้น
สีของแสง
การมองเห็นสีต่าง ๆ บนวัตถุเกิดจากการผสมของแสงสี เช่น แสงขาวอาจเกิดจากแสงเพียง 3 สีรวมกัน แสงทั้ง 3 สี ได้แก่ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน หรือเรียกว่า สีปฐมภูมิ และถ้านำแสงที่เกิดจากการผสมกันของสีปฐมภูมิ 2 สีมารวมกันจะเกิดเป็น สีทุติยภูมิ ซึ่งสีทุตยภูมิแต่ละสีจะมีความแตกต่างกันในระดับความเข้มสีและความสว่างของแสง ดังภาพ
เรามองเห็นวัตถุที่เปล่งแสงด้วยตัวเองไม่ได้ก็เพราะมีแสงสะท้อนจากวัตถุนั้นเข้าสู่นัยย์ตาของเรา และสีของวัตถุก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแสงที่สะท้อนนั้นด้วย โดยวัตถุสีน้ำเงินจะสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกไปมากที่สุด สะท้อนแสงสีข้างเคียงออกไปบ้างเล็กน้อย และดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมด ส่วนวัตถุสีแดงจะสะท้อนแสงสีอดงออกไปมากที่สุด มีแสงข้าวเคียงสะท้อนออกไปเล็กน้อย และดุดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมด สำหรับวัตถุสีดำจะดูดกลืนทุกแสงสีและสะท้อนกลับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังภาพ
 
การหักเหของแสง (Refraction of Light)
เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุหรือตัวกลางโปร่งใส เช่น อากาศ แก้ว น้ำ พลาสติกใส แสงจะสามารถเดินทางผ่านได้เกือบหมด เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางชนิดเดียวกัน แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางหลายตัวกลาง แสงจะหักเห
สาเหตุที่ทำให้แสงเกิดการหักเห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นแตกต่างกัน จะมีความเร็วไม่เท่ากันด้วย โดยแสงจะเคลื่อนที่ในตัวกลางโปร่งกว่าได้เร็วกว่าตัวกลางที่ทึบกว่า เช่น ความเร็วของแสงในอากาศมากกว่าความเร็วของแสงในน้ำ และความเร็วของแสงในน้ำมากกว่าความเร็วของแสงในแก้วหรือพลาสติก
การที่แสงเคลื่อนที่ผ่านอากาศและแก้วไม่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเพราะเกิดการหักเหของแสง โดยแสงจะเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า ( โปร่งกว่า) ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ( ทึบกว่า) แสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ ในทางตรงข้าม ถ้าแสงเดินทางจากยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ
ดรรชนีหักเหของตัวกลาง (Index of Refraction)
การเคลื่อนที่ของแสงในตัวกลางต่างชนิดกันจะมีอัตราเร็วต่างกัน เช่น ถ้าแสงเคลื่อนที่ในอากาศจะมีอัตราเร็วเท่ากับ 300,000,000 เมตรต่อวินาที แต่ถ้าแสงเคลื่อนที่ในแก้วหรือพลาสติกจะมีอัตราเร็วประมาณ 200,000,000 เมตรต่อวินาที การเปลี่ยนความเร็วของแสงเมื่อผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน ทำให้เกิดการหักเห อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศต่ออัตราเร็วของแสงในตัวกลางใดๆ เรียกว่า ดรรชนีหักเหของตัวกลาง นั้น
ดรรชนีหักเหของตัวกลาง = อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ/ อัตราเร็วของแสงในตัวกลางใด ๆ
( อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ = 3 x 10 8 เมตร / วินาที)

กล่องข้อความ:    ภาพการเกิดการหักเหของแสง    

พับมุม: กฎการหักเหของแสง (The Law of Refraction)  1. แสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่าไปสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าแสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ    2.   แสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าไปสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่าแสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ      
      การหักเหของแสงทำให้เรามองเห็นภาพของวัตถุอันหนึ่งที่จมอยู่ในก้นสระว่ายน้ำอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แสงจากก้นสระว่ายน้ำจะหักเหเมื่อเดินทางจากน้ำสู่อากาศ ทั้งนี้เพราะความเร็วของแสงที่เดินทางในอากาศเร็วกว่าเดินทางในน้ำ จึงทำให้เห็นภาพของวัตถุอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง
ผลที่เกิดขึ้นจากการหักเหของแสง
เมื่อมองที่อยู่ในน้ำโดยนัยน์ตาของเราอยู่ในอากาศ จะทำให้มองเห็นวัตถุตื้นกว่าเดิม นอกจากนี้นักเรียนอาจจะเคยสังเกตุว่าสระว่ายน้ำหรือถังใส่น้ำจะมองดูตื้นกว่าความเป็นจริง เพราะแสงต้องเดินทางผ่านน้ำและอากาศแล้วจึงหักเหเข้าสู่นัยน์ตา
มิราจ ( Mirage ) เป็นปรากฏการณ์เกิดภาพลวงตา ซึ่ง บางครั้งในวันที่อากาศ เราอาจจะมองเห็นสิ่งที่เหมือนกับสระน้ำบนถนน ดังภาพ


ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ามีแถบอากาศร้อนใกล้ถนนที่ร้อน และแถบอากาศที่เย็นกว่า (มีความหนาแน่นมากกว่า) อยู่ข้างบน รังสีของแสงจึงค่อยๆ หักเหมากขึ้น เข้าสู่แนวระดับ จนในที่สุดมันจะมาถึงแถบอากาศร้อนใกล้พื้นถนนที่มุมกว้างกว่ามุมวิกฤต จึงเกิดการสะท้อนกลับหมดนั่นเอง ดังภาพ
รุ้งกินน้ำ ( Rainbow) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มักเกิดตอนหลังฝนตกใหม่ ยิ่งเฉพาะมีแดดออกด้วย ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบกับหยดน้ำฝนหรือละอองน้ำ แล้วจะเกิดการหักเหและการสะท้อนกลับหมดของแสงทำให้เกิดเป็นแถบสีบนท้องฟ้า โดยการหักเหของแสงในหยดน้ำนั้นจะแยกสเปกตรัมของแสงขาวจากแสงแดดออกเป็นแถบสีต่างๆ ดังภาพ
  

การเกิดภาพบนกระจกเงาระนาบ
1. ภาพที่เกิดจากกระจกเงาระนาบบานเดียว
เมื่อนักเรียนมองเข้าไปในกระจกเงาระนาบจะเห็นภาพตัวเองเกิดขึ้นที่หลังกระจก ภาพที่เห็นนี้เกิดจากการสะท้อนของแสงที่กระจก ระยะที่ลากจากวัตถุไปตั้งฉากกับผิวกระจกเรียกว่า ระยะวัตถุ และระยะที่ลากจากภาพไปตั้งฉากกับผิวกระจกเรียกว่า ระยะภาพ
เมื่อวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงาระนาบ เราจะมองเห็นวัตถุเพราะมีแสงจากวัตถุมาเข้าตาเรา ส่วนการมองเห็นภาพของวัตถุนั้น เพราะแสงจากวัตถุไปตกกระทบพื้นผิวกระจกเงาระนาบแล้วสะท้อนมาเข้าตาเราอีกทีหนึ่ง ภาพที่เกิดขึ้นเรียกว่า ภาพเสมือน จะปรากฏให้เห็นข้างหลังกระจก และภาพเสมือนไม่สามารถเกิดบนฉากได้ ถ้าเรามองที่ด้านหลังของกระจกเงาระนาบเราจะไม่เห็นภาพ เนื่องจากภาพเสมือนนี้เพียงปรากฏให้เห็นหลังกระจก ( เพราะรังสีของแสงสะท้อนเข้าตา เหมือนกับรังสีนี้มาจากข้างหลังกระจก)
2. ภาพที่เกิดจากกระจกเงาระนาบ 2 บาน วางทำมุมกัน
ถ้านำวัตถุไปวางระหว่างกระจกเงาระนาบสองบานวางทำมุมต่อกัน ภาพที่เกิดจากกระจกเงาระนาบบานหนึ่งถ้าอยู่หน้าแนวกระจกเงาระนาบอีกบานหนึ่ง ภาพนั้นจะทำหน้าที่เป็นวัตถุ ทำให้เกิดการสะท้อนแสงครั้งที่ 2 เกิดภาพที่สองขึ้น โดยระยะภาพก็ยังคงเท่ากับระยะวัตถุ และถ้าภาพทั้งสองยังอยู่หน้าแนวกระจกเงาระนาบบานแรกอีก ภาพนั้นจะทำหน้าที่เป็นวัตถุในการสะท้อนต่อไปอีกกลับไปกลับมาระหว่างกระจกสองบานจนกว่าภาพที่อยู่หลังแนวกระจก จึงจะไม่มีการสะท้อนทำให้เกิดภาพอีก
สูตรคำนวณ n = (360/ q) – 1
เมื่อ n คือ จำนวนภาพที่เกิดขึ้น
q คือ มุมที่กระจกเงาระนาบทำมุมต่อกัน ( เหลือเศษ ให้ปัดเศษทบเป็นหนึ่งเสมอ)
การเกิดภาพบนกระจกโค้ง
ชนิดของกระจกโค้ง กระจกโค้งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. กระจกโค้งออกหรือกระจกนูน (Convex mirror) คือกระจกโค้งที่มีผิวสะท้อนแสงออยู่ด้านนอกของส่วนโค้ง ส่วนผิวด้านเว้าถูกฉาบด้วยปรอท

2. กระจกโค้งเข้าหรือกระจกเว้า (Concave mirror) คือ กระจกโค้งที่มีผิวสะท้อนแสงอยู่ด้านในของส่วนโค้ง ส่วนผิวด้านเว้าถูกฉาบด้วยปรอท
จากภาพ จุด C คือ จุดศูนย์กลางของวงกลม ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความโค้งของกระจกด้วย
              R คือ รัศมีของทรงกลม เรียกว่า รัศมีความโค้งของกระจก
              P คือ จุดที่อยู่บริเวณกึ่งกลางของผิวกระจก เรียกว่า ขั้วกระจก
การสะท้อนของแสงจากกระจกเงาโค้ง
1. กระจกนูน คือ กระจกที่รังสีตกกระทบและรังสีสะท้อนอยู่คนละด้านกับจุดศูนย์กลางความโค้ง
2. กระจกเว้า คือ กระจกที่รังสีตกกระทบและรังสีสะท้อนอยู่ด้านเดียวกับจุดศูนย์กลางความโค้ง
3. กระจกนูนเป็นกระจกกระจายแสง ถ้าให้รังสีตกกระทบขนานกับแกนมุขสำคัญ รังสีแสงจะถ่างออกหรือกระจายออก โดยรังสีแสงขนานสะท้อนในทิศที่เสมือนกับมาจากจุดโฟกัสของกระจกนูน
4. กระจกเว้าเป็นกระจกรวมแสง ถ้าให้รังสีตกกระทบขนานกับแกนมุขสำคัญ รังสีที่สะท้อนออกจากกระจกจะลู่ไปรวมกันที่จุดจุดหนึ่งเรียกว่า จุดโฟกัส
ภาพที่เกิดจากกระจกโค้ง
เกิดจากการสะท้อนของแสงและภาพที่เกิดบนฉาก เรียกว่า ภาพจริง ภาพจริงจะมีลักษณะหัวกลับกับวัตถุ ส่วนภาพที่ปรากฏในกระจก โค้งที่เป็นภาพหัวตั้ง และเอาฉากรับไม่ได้เรียกว่า ภาพเสมือน กระจกเว้าสามารถให้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือน ส่วนกระจกนูนนั้นให้ภาพเสมือนเพียงอย่างเดียว
เมื่อวัตถุอยู่ไกลๆ เราถือว่าแสงจากวัตถุเป็นรังสีขนาน และเมื่อรังสีตกกระทบกระจกเว้าจะสะท้อนไปรวมกันที่จุดโฟกัสซึ่งเป็นตำแหน่งภาพ ดังนั้นระยะจากกระจกเว้าถึงตำแหน่งภาพก็คือความยาวโฟกัสของกระจกเว้านั้นเอง
การเขียนทางเดินของแสงบนกระจกโค้ง มีขั้นตอนดังนี้
  • จากจุดปลายของวัตถุ ลากเส้นตรงขนานกับแกนมุขสำคัญไปตกกระทบผิวกระจกแล้วสะท้อนผ่านจุดโฟกัสของกระจกเว้า แต่ถ้าเป็นกระจกนูน แนวรังสีสะท้อนจะเสมือนผ่านจุดโฟกัส
  • จากปลายของวัตถุจุดเดียวกับข้อ 1 ลากเส้นตรงผ่านจุดศูนย์กลางความโค้งของกระจกแล้วสะท้อนกลับทางเดิม
  • ตำแหน่งที่รังสีสะท้อนไปตัดกันจะเป็นตำแหน่งของภาพจริง ส่วนตำแหน่งที่รัวสีสะท้อนที่เสมือนไปตัดกันจะเป็นตำแหน่งของภาพเสมือน
ตัวอย่าง การเขียนทางเดินของแสงบนกระจกเว้า
การคำนวณ
กล่องข้อความ: สูตร   1/f = 1/s + 1/s’  m = s’/s = I/O
s คือ ระยะวัตถุ จะมีเครื่องหมายเป็น + เสมอ
s’ คือ ระยะภาพ ถ้าภาพจริงใช้เครื่องหมาย + และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –
f คือ ความยาวโฟกัสของกระจกโค้ง เครื่องหมาย + สำหรับกระจกเว้า และเครื่องหมาย – สำหรับกระจกนูน
m คือ กำลังขยายของกระจกโค้ง เครื่องหมาย + สำหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –
I คือ ความสูงของภาพ เครื่องหมาย + สำหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –
O คือ ความสูงของวัตถุ จะมีเครื่องหมาย + เสมอ
ประโยชน์ของกระจกโค้ง
1.กระจกนูน นำมาใช้ประโยชน์โดยติดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เพื่อดูรถด้านหลัง ภาพที่เห็นจะอยู่ในกระจกระยะใกล้กว่า เนื่องจากกระจกนูนให้ภาพเสมือนหัวตั้งเล็กกว่าวัตถุเสมอ และช่วยให้เห็นมุมมองของภาพกว้างขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้กระจกนูนยังใช้ติดตั้งบริเวณทางเลี้ยว เพื่อช่วยให้มองเห็นรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมา
2.กระจกเว้า นำมาใช้ประกอบกับกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยรวมแสงไปตกที่แผ่นสไลด์ ทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ทำกล้องโทรทัศน์ชนิดสะท้อนแสง กล้องโทรทัศน์วิทยุ ทำเตาสุริยะ ทำจานดาวเทียม เพื่อรับสัญญาณโทรทัศน์ ทำจานรับเรดาร์ นอกจากนี้สมบัติอย่างหนึ่งของกระจกเว้าคือ เมื่อนำมาส่องดูวัตถุใกล้ๆ โดยให้ระยะวัตถุน้อยกว่าระยะโฟกัสแล้ว จะได้ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ อยู่ข้างหลังกระจก จึงได้นำสมบัติข้อนี้ของกระจกเว้ามาใช้ทำกระจกสำหรับโกนหนวดหรือกระจกแต่งหน้า และใช้ทำกระจกสำหรับทันตแพทย์ใช้ตรวจฟันคนไข้

การเกิดภาพจากเลนส์
เลนส์ (Lens) คือ วัตถุโปร่งใสที่มีผิวหน้าโง ส่วนใหญ่ทำมาจากแก้วหรือพลาสติก
ชนิดของเลนส์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. เลนส์นูน (Convex Lens) คือ เลนส์ที่มีลักษณะตรงกลางหนากว่าส่วนขอบ ดังภาพ

เลนส์นูน 2 หน้า                      เลนส์นูนแกมระนาบ                  เลนส์นูนแกมเว้า
เลนส์นูนทำหน้าที่รวมแสง หรือลู่แสงให้เข้ามารวมกันที่จุดจุดหนึ่งเรียกว่า จุดรวมแสง หรือ จุดโฟกัส ดังภาพ
2. เลนส์เว้า (Concave Lens) คือ เลนส์ที่มีลักษณะตรงกลางบางกว่าตรงขอบ ดังรูป
.......................................  
เลนส์เว้า 2 หน้า.....................เลนส์เว้าแกมระนาบ................เลนส์เว้าแกมนูน
เลนส์เว้าทำหน้าที่กระจายแสง หรือ ถ่างแสงออก เสมือนกับแสงมาจากจุดโฟกัสเสมือนของเลนส์เว้า ดังภาพ

ส่วนประกอบของเลนส์์
เลนส์นูน                                                      เลนส์เว้า
  • แนวทิศทางของแสงที่ส่องมายังเลนส์เรียกว่า แนวรังสีของแสง ถ้าแสงมาจากระยะไกลมาก หรือระยะอนันต์ เช่นแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงดาวต่างๆ แสงจะส่องมาเป็นรังสีขนาน
  • จุดโฟกัสของเลนส์หรือจุด F ถ้าเป็นเลนส์นูนจะเกิดจากรังสีหักเหไปรวมกันที่จุดโฟกัส แต่ถ้าเป็นเลนส์เว้าจะเกิดจุดเสมือนแสงมารวมกันหรือจุดโฟกัสเสมือน
  • แกนมุขสำคัญ (Principal axis) คือเส้นตรงที่ลากผ่านกึ่งกลางของเลนส์และจุดศูนย์กลางความโค้งของผิวเลนส์
  • จุด O คือ จุดใจกลางเลนส์ (Optical center)
  • จุด C คือ จุดศูนย์กลางความโค้งของผิวเลนส์ ( Center of Curvature)
  • OC เป็น รัศมีความโค้ง (Radius of curvature) เขียนแทนด้วย R
  • F เป็นความยาวโฟกัส (Focal length) โดยความยาวโฟกัสจะเป็นครึ่งหนึ่งของรัศมีความโค้ง (R = 2F)

การเขียนทางเดินของแสงผ่านเลนส์
เราสามารถหาตำแหน่งและลักษณะของภาพที่เกิดจากเลนส์นูนหรือเลนส์เว้าโดยวิธีการเขียนทางเดินของแสงผ่านเลนส์ได้ ซึ่งมีลำดับขั้นตอนดังนี้
  • เขียนเลนส์ แกนมุขสำคัญ จุดโฟกัส และจุดกึ่งกลางของเลนส์
  • กำหนดตำแหน่งวัตถุ ใช้รังสี 2 เส้นจากวัตถุ เส้นแรกคือรังสีที่ขนานแกนมุขสำคัญ แล้วหักเหผ่านจุดโฟกัสของเลนส์ และเส้นที่ 2 คือ รังสีจากวัตถุผ่านจุดกึ่งกลางของเลนส์โดยไม่หักเห จุดที่รังสีทั้ง 2 ตัดกัน คือ ตำแหน่งภาพ

การเกิดภาพจริงและภาพเสมือน มีลักษณะดังนี้
- ถ้ารังสีของแสงทั้ง 2 เส้นตัดกันจริง จะเกิดภาพจริง
- ถ้ารังสีของแสงทั้งสองเส้นไม่ตัดกันจริง จะเกิดภาพเสมือน
ภาพที่เกิดจากเลนส์
1. ภาพที่เกิดจากเลนส์นูน
    • เลนส์นูนสามารถให้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือน และภาพจริงเป็นภาพที่ฉากสามารถรับได้เป็นภาพหัวกลับกับวัตถุ ส่วนภาพเสมือนเป็นภาพที่ฉากไม่สามารถรับได้ เป็นภาพหัวตั่งเหมือนวัตถุ
    • ภาพจริงที่เกิดจากเลนส์นูนมีหลายขนาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะวัตถุ และตำแหน่งภาพจริงที่จะเกิดหลังเลนส์
    • ภาพเสมือนที่เกิดจากเลนส์นูนมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุและตำแหน่งภาพเสมือนจะเกิดหน้าเลนส์

เลนส์นูนจะให้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ ถ้าระยะวัตถุมากกว่า ความยาวโฟกัส จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าระยะวัตถุน้อยกว่าความยาวโฟกัส จะเกิดภาพเสมือน

2. ภาพที่เกิดจากเลนส์เว้า
เลนส์เว้าให้ภาพเสมือนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าระยะวัตถุจะมากหรือน้อยกว่าความยาวโฟกัส และขนาดภาพมีขนาดเล็กกวาวัตถุเท่านั้น
การคำนวณหาชนิดและตำแหน่งของภาพที่เกิดจากเลนส์
สูตร 1/f = 1/s + 1/s’
m = I/O = s’/s
s คือ ระยะวัตถุ ( จะมีเครื่องหมายเป็น + เมื่อเป็นวัตถุจริง เป็น – เมื่อเป็นวัตถุเสมือน)
s’ คือ ระยะภาพ ( ถ้าภาพจริงใช้เครื่องหมาย + และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –)
f คือ ความยาวโฟกัสของเลนส์ ( เครื่องหมาย + สำหรับเลนส์นูน และเครื่องหมาย – สำหรับเลนส์เว้า)
m คือ กำลังขยายของเลนส์ ( เครื่องหมาย + สำหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –)
I คือ ขนาดหรือความสูงของภาพ ( เครื่องหมาย + สำหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –)
O คือ ความสูงของวัตถุ ( จะมีเครื่องหมาย + เสมอ)

ความสว่าง
1. อัตราการให้พลังงานแสงของแหล่งกำเนิดแสง
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง และทำให้เกิดความสว่างบนพื้นที่ที่แสงตกกระทบ วัตถุที่ผลิตแสงได้ด้วยตัวเอง เรียกว่า แหล่งกำเนิดแสง เช่น ดวงอาทิตย์ เทียนไข และหลอดไฟฟ้า และปริมาณพลังงานแสงที่ส่องออกมาจากแหล่งกำเนิดแสงใดๆ ต่อ หนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า อัตราการให้พลังงานแสงของแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยเป็น ลูเมน(lumen ; lm)
2. ค่าความสว่าง
พลังงานแสงที่ทำให้เกิดความสว่างบนพื้นที่ที่รับแสง ถ้าพิจารณาพื้นที่ใดๆ ที่รับแสง ความสว่างบนพื้นที่นั้นหาได้จาก
กล่องข้อความ: E = F / A  
F เป็น อัตราพลังงานแสงที่ตกบนพื้น มีหน่วยเป็นลูเมน (lumen : lm)
A เป็น พื้นที่รับแสง มีหน่วยเป็นตารางเมตร m 2
E เป็น ความสว่าง มีหน่วยเป็นลักซ์ (lux ; lx)

การตอบสนองของนัยน์ตาต่อความเข้มของแสง
เนื่องจากนัยน์ตาเป็นอวัยวะที่มีความไวต่อแสงมาก สามารถรับรู้ได้เมื่อมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เช่น แสงจากดวงดาวที่อยู่ไกลในคืนเดือนมืดจนถึงแสงสว่างที่มีปริมาณมาก ทั้งนี้เนื่องจากเรตินาจะมีเซลล์รับแสง 2 ชนิด คือ
1. เซลล์รูปแท่ง(Rod Cell) ทำหน้าที่รับแสงสว่าง ( สลัว) ที่ไวมาก สามารถมองเห็นภาพขาวดำ เซลล์ รูปแท่งจะไวเฉพาะต่อแสงที่มีความเข้มน้อย โดยจะไม่สามารถจำแนกสีของแสงนั้นได้
2. เซลล์รูปกรวย(Cone Cell) จะไวเฉพาะต่อแสงที่มีความเข้มสูงถัดจากความไวของเซลล์รูปแท่ง และสามารถจำแนกแสงแต่ละสีได้ด้วย เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิด แต่ละชนิดจะมีความไวต่อแสงสีปฐมภูมิต่างกัน ชนิดที่หนึ่งมีความไวสูงสุดต่อแสงสีน้ำเงิน ชนิดที่สองมีความไวสูงสุดต่อแสงสีเขียว และชนิดที่สามมีความไวสูงสุดต่อแสงสีแดง เมื่อมีแสงสีต่างๆ ผ่านเข้าตามากระทบเรตินา เซลล์รับแสงรูปกรวยจะถูกกระตุ้น และสัญญาณกระตุ้นนี้จะถูกส่งผ่านประสาทตาไปยังสมอง เพื่อแปรความหมายออกมาเป็นความรู้สึกเห็นเป็นสีของแสงนั้น ๆ
ความเข้มของแสงต่อนัยน์ตามนุษย์
ดวงตาของมนุษย์สามารถรับแสงที่มีความเข้มน้อยมากๆ เช่น แสงริบหรี่ในห้องมืด ๆ ไปจึงถึงแสงสว่างจ้าของแสงแดดตอนเที่ยงวัน ซึ่งมีความเข้มแสงมากกว่าถึง 10 เท่า นอกจากนี้ดวงตายังสามารถปรับให้มองเห็นได้แม้ตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เล็กๆ สามารถบอกรูปร่างและทรวดทรงที่แตกต่างกันในที่ที่มีความเข้มของแสงแตกต่างกันมากๆได้ โดยการปรับของรูม่านตา ดังภาพ

การมองเห็นวัตถุ

การมองเห็นวัตถุ เกิดจากการที่แสงไปตกกระทบสิ่งต่างๆ แล้วเกิดการสะท้อนเข้าสู่ตาเรา และผ่านเข้ามาในลูกตา ไปทำให้เกิดภาพบนจอ (Retina) ที่อยู่ด้านหลังของลูก ข้อมูลของวัตถุที่มองเห็นจะส่งขึ้นไปสู่สมองตามเส้นประสาท (optic nerve) สมองจะแปลข้อมูลเป็นภาพของวัตถุนั้น

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โคมไฟ

โคมไฟ

ประวิติของโคมไฟ
นับแต่สมัยโบราณ ยามค่ำคืน ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า มีเพียงแต่แสงดาว แสงจันทร์ และคบเพลิง ซึ่งจากคบเพลิงไม้ ก็ได้นำไปสู่โคมไฟ เพื่อใช้เป็นแสงสว่างยามค่ำคืน โคมไฟถูกสร้างขึ้น น่าจะรับอิทธิพลมาจากประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันโคมไฟที่ได้รับความนิยม อันดับต้นๆ เลยก็คือ โคมไฟไม้สัก ซึ่งมีความสวยงาม คงทน แข็งแรง แต่มีความคลาสสิกในตัวของโคมเอง 
 
ชนิดและลักษณะของโคมไฟ
ชนิดและลักษณะของโคมไฟ กล่าวถึงชนิดและลักษณะของโคมไฟว่า ลักษณะ ของดวงโคม ชนิดต่าง ๆอุปกรณ์ส่องสว่างอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ประกอบคู่ไปกับหลอดไฟ คือ ดวงโคมไฟ อุปกรณ์ที่ใช้ในการยึดติด ป้องกัน และช่วยการกระจายแสงของหลอดไฟ ซึ่งแบ่ง ออกเป็น

1. ดวงโคมไฟเพดาน

รูปทรงเราขาคณิต

รูปทรงเรขาคณิต

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รูปทรงของโคมไฟกับความเข้มของแสง




บทนำ

โคมไฟในท้องตลาดทั่วไปจะมีรูปทรงที่แตกต่างกัน เช่น รูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม รูปทรงสี่เหลี่ยม ฯลฯ มีการผลิตจากวัสดุต่าง ได้แก่ กระดาษ ไม้ แก้ว โลหะ พลาสติก เป็นต้น การเลือกใช้ส่วนใหญ่มักจะเลือกตามความสวยงามหรือรสนิยมของผู้ใช้ โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่า และประโยชน์ในการใช้สอย รวมถึงการประหยัดพลังงานด้วย จากสภาพดังกล่าวทาให้กลุ่มผู้ศึกษาเกิดความสงสัยและสนใจในรูปทรงของโคมไฟในลักษณะต่าง จึงได้ทาโครงงานนี้ขึ้น โดยกลุ่มผู้ศึกษาได้นาเศษวัสดุเหลือใช้คือถ้วยพลาสติกทรงกลมมาประดิษฐ์เป็นโคมไฟ นอกจากจะประหยัดงบประมาณแล้วยังเป็นการนาสิ่งของที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) เป็นการลดภาวะโลกร้อนอีกช่องทางหนึ่งด้วย

1.2 จุดประสงค์การทำโครงงาน
เพื่อเปรียบเทียบความเข้มของแสงจากโคมไฟรูปทรงต่าง จากถ้วยพลาสติก

1.3       ขอบเขตของโครงงาน
      สิ่งที่ศึกษา
-โคมไฟที่ทำจากถ้วยพลาสติกทรงกลมสีขาวขุ่น 3 รูปทรง ได้แก่ รูปทรงกลม , รูปทรงสามเหลี่ยม , และรูปทรงสี่เหลี่ยม
-ความเข้มของแสงจากโคมไฟทั้ง 3 รูปทรง
 1.4   วิธีการดำเนินการ
1. นำถ้วยพลาสติกมาประดิษฐ์เป็นรูปทรงกลม, รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม ให้มีขนาดใกล้เคียงกัน
2. ประกอบอุปกรณ์ฐานตั้งโคมไฟโดยใช้กระป๋องพลาสติก ฟิวเจอร์บอร์ด หลอดไฟ และสวิตซ์ไฟพร้อมสาย และทดสอบความพร้อมในการใช้งาน
3. นำรูปทรงที่ได้จากข้อ 1 มาประกอบกับชุดอุปกรณ์ฐานตั้งโคมไฟในข้อ 2 จะได้โคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม ที่พร้อมใช้งาน
4. ดำเนินการทดสอบความเข้มของแสงโดยการนำโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม มาจัดวางในลักษณะตั้งโต๊ะในที่มืด และให้กลุ่มเป้าหมายจำนวน 30 คน สังเกตความเข้มของแสง และบันทึกผลตามแบบทดสอบที่กำหนดให้
5. ดำเนินการทดสอบความเข้มของแสงโดยการนำโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม มาจัดวางในลักษณะแขวนเพดานในที่มืด และให้กลุ่มเป้าหมายเดิมจำนวน 30 คน สังเกตความเข้มของแสง และบันทึกผลตามแบบทดสอบที่กำหนดให้
6. สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบ
    
 1.5 ประโยชน์ที่ได้รับ
1. จะทำให้ทราบว่ารูปทรงเรขาคณิตชนิดใดมีความเข้มของแสงซึ่งทำให้แสงสว่างมากที่สุด
2. สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดทำโคมไฟเพื่อประหยัดพลังงาน
 3.นำไปประยุกต์ใช้กับเศษวัสดุเหลือใช้ในรูปแบบอื่นๆ

 1.6  นิยามศัพท์
1. ความเข้มของแสง หมายถึง พลังงานแสงที่ทาให้แสงสว่างซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่า
2. โคมไฟ หมายถึง โคมที่ให้แสงสว่างส่องบนพื้นด้านล่างเป็นชนิดแบบตั้งโต๊ะและโคมไฟที่แสงสว่าง ส่องลงมาจากด้านบนเป็นแบบติดเพดาน
 3. รูปเรขาคณิต หมายถึง รูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม






วิธีการดำเนินการ
3.1 วัสดุ อุปกรณ์
1. ถ้วยพลาสติกขาวขุ่นทรงกลม จำนวน 120 ใบ
2. ลวดเย็บกระดาษ จำนวน 1 กล่อง
3. หลอดไฟ ขนาด 5 วัตต์ จำนวน 3 หลอด
4. สวิตซ์ไฟพร้อมสาย จำนวน 3 ชุด
5. กาวตราช้าง จำนวน 1 หลอด
6. ฟิวเจอร์บอร์ด จานวน 1 แผ่น
7. กระดาษแข็ง จำนวน 1 แผ่น
8. กระป๋องพลาสติก จำนวน 3 กระป๋อง
9. กรรไกร จำนวน 1 อัน
10.มีดคัตเตอร์ จำนวน 1 อัน
11.ไม้บรรทัด จำนวน 1 อัน

3.2 วิธีดำเนินการ
การศึกษาเรื่อง รูปทรงของโคมไฟกับความเข้มของแสง ได้ดำเนินการดังนี้
1. นำถ้วยพลาสติกมาประดิษฐ์เป็นรูปทรงกลม, รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม ให้มีขนาดใกล้เคียงกัน
2. ประกอบอุปกรณ์ฐานตั้งโคมไฟโดยใช้กระป๋องพลาสติก ฟิวเจอร์บอร์ด หลอดไฟ และสวิตซ์ไฟพร้อมสาย และทดสอบความพร้อมในการใช้งาน
3. นำรูปทรงที่ได้จากข้อ 1 มาประกอบกับชุดอุปกรณ์ฐานตั้งโคมไฟในข้อ 2 จะได้โคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม ที่พร้อมใช้งาน
4. ดำเนินการทดสอบความเข้มของแสงโดยการนำโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม มาจัดวางในลักษณะตั้งโต๊ะในที่มืด และให้กลุ่มเป้าหมายจำนวน 30 คน สังเกตความเข้มของแสง และบันทึกผลตามแบบทดสอบที่กำหนดให้
5. ดำเนินการทดสอบความเข้มของแสงโดยการนำโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงสามเหลี่ยม มาจัดวางในลักษณะแขวนเพดานในที่มืด และให้กลุ่มเป้าหมายเดิมจำนวน 30 คน สังเกตความเข้มของแสง และบันทึกผลตามแบบทดสอบที่กำหนดให้
6. สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบ


ผลการดำเนินงาน
จากการศึกษา รูปทรงของโคมไฟกับความเข้มของแสง ซึ่งได้ดาเนินการโดยการทดสอบระดับความเข้มของแสงจากโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม ในลักษณะการตั้งโต๊ะ และแขวนเพดาน ได้ผลการทดสอบดังนี้

ผลการทดสอบ
ตาราง การเปรียบเทียบระดับความเข้มของแสงจากโคมไฟ 3 รูปทรง
ลักษณะรูปทรงของโคมไฟ
ระดับความเข้มของแสง
น้อยที่สุด

น้อย
ปานกลาง
มาก
มากที่สุด
เฉลี่ย
แปรผล
โคมไฟรูปทรงกลม
5
(16.67)
7
(23.33)
14
(46.67)
4
(13.33)
0
(0)
77
(51.33)
ระดับน้อย
โคมไฟรูปทรงสี่เหลี่ยม
1
(3.33)
1
(3.33)
3
(10.00)
12
(40.00)
13
(43.34)
125
(83.33)
ระดับมมาก
โคมไฟรูปทรงสามเหลี่ยม
2
(6.67)
6
(20.00)
13
(43.33)
9
(30.00)
0
(0)
89
(59.33)
ระดับน้อย

จากตาราง ผลการทดสอบพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ทดสอบจำนวน 30 คน ทดสอบระดับความเข้มของแสงจากโคมไฟที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะ มีผู้แสดงความคิดเห็นดังนี้
โคมไฟรูปทรงกลม ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยที่สุดจำนวน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 16.67 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยจำนวน 7 คนคิดเป็นร้อยละ 23.33 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 14 คนคิดเป็นร้อยละ 46.67 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับมากจำนวน 4 คนคิดเป็นร้อยละ 13.33 คิดเป็นค่าเฉลี่ย 77 คิดเป็นร้อยละ 51.33 สรุปว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ทดสอบแสดงความเห็นว่าโคมไฟรูปทรงกลมที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะมีความเข้มของแสงหรือความสว่างระดับน้อย
โคมไฟรูปทรงสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะ มีผู้แสดงความคิดเห็นดังนี้ ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยที่สุดจานวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 3.33 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยจำนวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 3.33 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 3 คนคิดเป็นร้อยละ 10.00 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับมากจำนวน 12 คนคิดเป็นร้อยละ 40.00 และความเข้มของแสงอยู่ในระดับมากที่สุดจำนวน 13 คนคิดเป็นร้อยละ 43.34 คิดเป็นค่าเฉลี่ย 125 คิดเป็นร้อยละ 83.33 สรุปว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ทดสอบแสดงความเห็นว่าโคมไฟรูปทรงสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะมีความเข้มของแสงหรือความสว่างระดับมาก
โคมไฟรูปทรงสามเหลี่ยมที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะ มีผู้แสดงความคิดเห็นดังนี้ ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยที่สุดจำนวน 2 คนคิดเป็นร้อยละ 6.67 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับน้อยจำนวน 6 คนคิดเป็นร้อยละ 20.00 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับปานกลางจานวน 13 คนคิดเป็นร้อยละ 43.33 ความเข้มของแสงอยู่ในระดับมากจำนวน 9 คนคิดเป็นร้อยละ 30.00 คิดเป็นค่าเฉลี่ย 89 คิดเป็นร้อยละ 59.33 สรุปว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ทดสอบแสดงความเห็นว่าโคมไฟรูปทรงสามเหลี่ยมที่วางอยู่ในลักษณะตั้งโต๊ะมีความเข้มของแสงหรือความสว่างระดับน้อย




สรุปอภิปรายและข้อเสนอแนะ
5.1สรุปผลการดำเนินโครงงาน
ผลการศึกษารูปทรงของโคมไฟกับความเข้มของแสง ซึ่งได้ดาเนินการโดยการทดสอบระดับความเข้มของแสงจากโคมไฟรูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม โดยการนาถ้วยพลาสติกทรงกลมมาประดิษฐ์เป็นรูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงสี่เหลี่ยม ที่มีขนาดใกล้เคียงกันพร้อมกับประกอบอุปกรณ์ฐานตั้งโคมไฟที่มีขนาดกาลังวัตต์เท่ากันและทาการทดสอบระดับความเข้มของแสงโดยใช้กลุ่มเป้าหมายจานวน 30 คนสังเกตและบันทึกผลความเข้มของแสงหรือความสว่างของแสงไฟที่ส่องผ่านทะลุออกมาจากรูปทรงทั้งสามแบบโดยการตั้งโคมไฟบนโต๊ะและแขวนบนเพดานภายในห้องมืด ผลการศึกษาสรุปได้ว่าความเข้มของแสงหรือความสว่างของแสงที่ส่องผ่านออกมาจากโคมไฟรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่ในระดับมาก มีความเข้มหรือความสว่างของแสงมากกว่าโคมไฟรูปทรงอื่นๆรองลงมาคือโคมไฟรูปทรงสามเหลี่ยมที่มีความเข้มหรือความสว่างของแสงระดับน้อยและโคมไฟรูปทรงกลมมีความเข้มหรือความสว่างของแสงระดับน้อยเช่นกัน

5.2 ปัญหาและอุปสรรค
1.  การบ้านจากวิชาต่างๆ ที่ต้องใช้เวลานานในการทำ และบางครั้งต้องออกไปทำในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีเวลาในการปฏิบัติโครงงานน้อยลง
                2.  เกิดปัญหาในการถ่ายทอดความรู้ เนื่องจากความรู้บางเรื่องยากในการอธิบาย               
                3.  เนื่องจากโครงงานนี้ เป็นงานเดียว จึงยากที่จะเข้าใจได้ง่าย เพราะไม่มีเพื่อนให้คำแนะนำ รับฟังความคิดเห็น

5.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา
1. การเลือกถ้วยพลาสติกควรเลือกถ้วยที่มีความยืดหยุ่นจะได้ติดผลึกง่าย
2. ช่องว่างระหว่างแถวควรมีช่องว่างที่เท่ากัน
3. สถานที่ทดสอบควรเป็นห้องทึบแสง จะทาให้สังเกตความสว่างของแสงได้ชัดเจนขึ้น





ภาพกิจกรรมการดำเดินงานและเก็บข้อมูล














บรรณานุกรม